HomeComSci M.4การทำโครงงาน : ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

การทำโครงงาน : ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

สมมุติว่าเราต้องการหาความพึงพอใจในการใช้ห้องสมุดของโรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งมีนักเรียนประมาณ 3,000 คน เราคิดว่าสามารถเก็บข้อมูลทั้ง 3,000 คนนั้นได้เลยหรือเปล่า

การทำวิจัยส่วนใหญ่ไม่สามารถเก็บข้อมูลได้จากประชากรทั้งหมดเนื่องจากมันมากเกินไปจึงต้องผ่านกระบวนการหากลุ่มตัวอย่างซึ่งมีแบบแผนการคัดเลือกเพื่อนำขข้อมูลที่ได้จากตัวอย่างนั้นไปอ้างอิงถึงประชากรทั้งหมด

ประชากร (Population) คืออะไร
คน สัตว์ สิ่งของ หรือค่าที่ต้องการ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกของกลุ่ม (พูดง่าย ๆ แบบชิว ๆ คือคนที่มีคุณสมบัติตรงกับวิจัยที่เราทำ

กลุ่มตัวอย่าง (Sample) คืออะไร
กลุ่มสมาชิกที่เป็นส่วนหนึ่งของประชากรทั้งหมด โดยได้มาจากการคัดเลือกโดยการสุ่มขึ้นมา

เชื่อว่าถ้าให้ทุกคนสุ่มก็สามารถสุ่มได้ แต่ในงานวิจัยเราคือเราจะสุ่มยังไงให้มีความน่าเชื่อถือ ? ? ?

วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างในงานวิจัยมี 2 รูปแบบใหญ่ ๆ


การสุ่มตัวอย่างโดยอาศัยความน่าจะเป็น (Probability)
การสุ่มตัวอย่างประเภทนี้ทำให้ทุกคนในกลุ่มประชากรมีโอกาสถูกเลือกเท่ากัน หรือมีโอกาสที่รู้ได้ล่วงหน้า การสุ่มตัวอย่างนี้มีความยุติธรรมและเป็นวิธีที่นิยมใช้ในวิจัย เพราะผลลัพธ์มักจะมีความแม่นยำสูง

การสุ่มตัวอย่างโดยไม่อาศัยความน่าจะเป็น (Non-Probability)
การสุ่มตัวอย่างประเภทนี้ไม่รับประกันว่าทุกคนในประชากรมีโอกาสถูกเลือกเท่ากัน การเลือกกลุ่มตัวอย่างอาจจะมีอคติและไม่สามารถทั่วไปผลได้เหมือนกับการสุ่มตัวอย่างแบบมีความน่าจะเป็น


การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling)

ประชากร: ประชากรในที่นี้หมายถึงกลุ่มบุคคลหรือหน่วยทั้งหมดที่ต้องการศึกษา เช่น นักเรียนทั้งหมดในโรงเรียน, ผู้บริโภคทั้งหมดในตลาด, หรือสมาชิกทั้งหมดในองค์กร

คุณลักษณะ: การสุ่มตัวอย่างแบบง่ายจะเลือกตัวอย่างจากประชากรทั้งหมดโดยใช้วิธีที่ให้ทุกคนมีโอกาสถูกเลือกเท่า ๆ กัน ซึ่งช่วยให้การเลือกตัวอย่างเป็นแบบสุ่มและไม่เอนเอียง

ข้อดี:

  1. ความเป็นตัวแทนที่ดี: การสุ่มตัวอย่างแบบง่ายทำให้ทุกหน่วยในประชากรมีโอกาสถูกเลือกเท่า ๆ กัน จึงสามารถให้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนที่ดีของประชากรทั้งหมด
  2. เรียบง่ายและไม่ซับซ้อน: วิธีการนี้เข้าใจง่ายและสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องใช้เทคนิคที่ซับซ้อน
  3. การวิเคราะห์ง่าย: ข้อมูลที่ได้รับสามารถวิเคราะห์ได้ง่าย เพราะไม่มีการจัดกลุ่มหรือแบ่งชั้นในการเลือกตัวอย่าง

วิธีการ:

  1. ระบุตัวประชากรทั้งหมด: รวบรวมรายชื่อหรือข้อมูลทั้งหมดของประชากรที่ต้องการศึกษา
  2. กำหนดขนาดของตัวอย่าง: ตัดสินใจเกี่ยวกับจำนวนตัวอย่างที่ต้องการ
  3. เลือกตัวอย่างแบบสุ่ม:
    • ใช้การสุ่มแบบง่าย: เช่น การใช้ซอฟต์แวร์สุ่มตัวอย่างหรือการจับฉลากจากรายชื่อทั้งหมด
    • ใช้การสุ่มแบบเลขสุ่ม: เช่น การสร้างหมายเลขสุ่มและเลือกหน่วยที่มีหมายเลขตรงกับหมายเลขที่สุ่มได้
  4. รวบรวมข้อมูล: เก็บข้อมูลจากตัวอย่างที่เลือกตามวิธีที่กำหนด
  5. วิเคราะห์ข้อมูล: วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้เพื่อหาความเข้าใจตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย

ตัวอย่าง:

  • การสำรวจความคิดเห็นของประชาชน: หากต้องการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในเมืองใหญ่ คุณอาจใช้รายชื่อทั้งหมดของประชาชนในทะเบียนประชากร และสุ่มเลือกกลุ่มตัวอย่างจากรายชื่อนั้น
  • การวิจัยตลาด: หากต้องการศึกษาความพึงพอใจของลูกค้าในร้านค้า คุณอาจเลือกลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าตามหมายเลขบัตรสมาชิกหรือการสั่งซื้อที่สุ่มได้

ข้อควรระวัง:

  • การเข้าถึงประชากรทั้งหมด: ต้องมั่นใจว่ามีข้อมูลที่ครบถ้วนและสามารถเข้าถึงประชากรทั้งหมดเพื่อทำการสุ่มได้อย่างถูกต้อง
  • ความเป็นตัวแทน: ต้องมั่นใจว่าการสุ่มตัวอย่างจริง ๆ เป็นการสุ่มที่ให้ทุกหน่วยมีโอกาสเท่า ๆ กันในการเลือก เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความเป็นตัวแทนที่ดี

การสุ่มตัวอย่างแบบง่ายเป็นวิธีที่มีความเรียบง่ายและสามารถให้ข้อมูลที่เป็นตัวแทนของประชากรได้ดี แต่ต้องมีการเตรียมความพร้อมในการจัดการข้อมูลและการสุ่มตัวอย่างอย่างถูกต้องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้ค่ะ


การสุ่มตัวอย่างโดยอาศัยความน่าจะเป็น (Probability) – การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling)

การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling)

ประชากร: ประชากรในที่นี้หมายถึงกลุ่มบุคคลหรือหน่วยที่มีลักษณะเฉพาะซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นชั้นหรือกลุ่มย่อยที่แตกต่างกัน เช่น เพศ อายุ ระดับการศึกษา หรือสถานภาพทางเศรษฐกิจ

คุณลักษณะ: การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นใช้การแบ่งประชากรออกเป็นชั้นหรือกลุ่มย่อยตามลักษณะหรือคุณสมบัติที่สำคัญ จากนั้นทำการสุ่มตัวอย่างจากแต่ละชั้นหรือกลุ่มย่อยเพื่อให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่ครอบคลุมและเป็นตัวแทนของประชากร

ข้อดี:

  1. เพิ่มความแม่นยำ: ช่วยให้การเลือกตัวอย่างมีความแม่นยำมากขึ้น เพราะตัวอย่างที่เลือกมาจากแต่ละชั้นมีการเป็นตัวแทนที่ดีของชั้นนั้น ๆ
  2. ลดความเบี่ยงเบน: ลดความเบี่ยงเบนในการประมาณค่า เนื่องจากการเลือกตัวอย่างจากแต่ละชั้นช่วยให้ครอบคลุมลักษณะที่แตกต่างกันในประชากร
  3. มีความหลากหลาย: สามารถศึกษาความแตกต่างระหว่างชั้นต่าง ๆ และได้รับข้อมูลที่มีความหลากหลายมากขึ้น

วิธีการ:

  1. ระบุชั้น: แบ่งประชากรออกเป็นชั้นหรือกลุ่มย่อยตามลักษณะที่สำคัญ เช่น เพศ อายุ หรือระดับการศึกษา
  2. กำหนดขนาดของตัวอย่าง: ตัดสินใจเกี่ยวกับจำนวนตัวอย่างที่ต้องการจากแต่ละชั้น อาจใช้การสุ่มตัวอย่างภายในแต่ละชั้นให้สอดคล้องกับสัดส่วนของแต่ละชั้นในประชากร
  3. สุ่มตัวอย่างจากแต่ละชั้น: ทำการสุ่มตัวอย่างจากแต่ละชั้นหรือกลุ่มย่อยตามที่กำหนด สามารถใช้วิธีการสุ่มแบบง่ายภายในแต่ละชั้น
  4. รวบรวมข้อมูล: เก็บข้อมูลจากตัวอย่างที่ได้จากแต่ละชั้น
  5. วิเคราะห์ข้อมูล: วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับจากแต่ละชั้นเพื่อหาความเข้าใจที่ครอบคลุมและเป็นตัวแทนของประชากรทั้งหมด

ตัวอย่าง:

  • การสำรวจความคิดเห็นในประชากร: หากคุณต้องการศึกษาความคิดเห็นของประชากรในเมืองใหญ่ คุณอาจแบ่งประชากรออกเป็นชั้นตามเพศ (ชายและหญิง) และอายุ (กลุ่มอายุ 18-24, 25-34, 35-44, 45+) และทำการสุ่มตัวอย่างจากแต่ละชั้นตามจำนวนที่กำหนด

ข้อควรระวัง:

  • การแบ่งชั้นที่ถูกต้อง: ต้องระมัดระวังในการแบ่งประชากรออกเป็นชั้นให้เหมาะสมและเป็นไปตามลักษณะที่สำคัญในการวิจัย
  • ความเป็นตัวแทน: ต้องคำนึงถึงการเลือกตัวอย่างจากแต่ละชั้นให้สะท้อนถึงประชากรทั้งหมดอย่างเหมาะสม

การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นเป็นวิธีที่มีประโยชน์ในการสร้างกลุ่มตัวอย่างที่มีความหลากหลายและเป็นตัวแทนที่ดีของประชากรทั้งหมด ช่วยให้การวิจัยได้ข้อมูลที่มีความแม่นยำและครอบคลุมค่ะ


การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling)

ประชากร: ประชากรในที่นี้หมายถึงกลุ่มหรือคลัสเตอร์ที่มีการจัดระเบียบในลักษณะเฉพาะ เช่น โรงเรียนในเมือง, บ้านในหมู่บ้าน, หรือบริษัทในอุตสาหกรรมที่ใหญ่

คุณลักษณะ: การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มจะเลือกตัวอย่างโดยการเลือกกลุ่มทั้งหมดแทนการเลือกตัวอย่างแต่ละคนจากประชากรทั้งหมด โดยกลุ่มหรือคลัสเตอร์ที่เลือกจะถูกศึกษาอย่างเต็มที่

ข้อดี:

  1. ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย: ลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการคัดเลือกตัวอย่าง เนื่องจากไม่ต้องเลือกตัวอย่างจากประชากรทั้งหมด
  2. สะดวกในกรณีที่ประชากรกระจายตัว: เหมาะสำหรับกรณีที่ประชากรกระจายตัวอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ หรือมีการจัดระเบียบเป็นกลุ่ม
  3. เหมาะสำหรับการศึกษาขนาดใหญ่: สามารถใช้ในการวิจัยที่มีขนาดใหญ่หรือมีการกระจายตัวที่กว้างขวาง

วิธีการ:

  1. ระบุกลุ่มหรือคลัสเตอร์: ระบุและแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มหรือคลัสเตอร์ เช่น โรงเรียนทั้งหมดในเมือง, หมู่บ้านทั้งหมดในเขต, หรือบริษัททั้งหมดในอุตสาหกรรม
  2. เลือกคลัสเตอร์ที่สุ่ม: ใช้การสุ่มเพื่อเลือกคลัสเตอร์บางกลุ่มจากทั้งหมด ตัวอย่างเช่น การสุ่มเลือก 10 โรงเรียนจากทั้งหมด 50 โรงเรียน
  3. ศึกษาทั้งคลัสเตอร์: ทำการเก็บข้อมูลจากคลัสเตอร์ที่เลือกทั้งหมด การเลือกแบบนี้หมายถึงการศึกษาแบบเต็มที่ของทุกหน่วยภายในคลัสเตอร์ที่เลือก
  4. วิเคราะห์ข้อมูล: วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากคลัสเตอร์ที่เลือกเพื่อหาความเข้าใจตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย

ตัวอย่าง:

  • การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน: หากคุณต้องการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนในเมืองใหญ่ คุณอาจเลือกโรงเรียนบางแห่งแบบสุ่ม และทำการสำรวจนักเรียนทั้งหมดในโรงเรียนที่เลือก

ข้อควรระวัง:

  • ความเอนเอียง: การเลือกคลัสเตอร์ทั้งหมดอาจทำให้เกิดความเอนเอียง หากคลัสเตอร์ที่เลือกมีลักษณะหรือคุณสมบัติที่แตกต่างจากคลัสเตอร์ที่ไม่ได้เลือก
  • ความเป็นตัวแทน: การเลือกคลัสเตอร์ทั้งหมดอาจไม่สะท้อนถึงลักษณะของประชากรทั้งหมด หากคลัสเตอร์ที่เลือกมีความแตกต่างจากประชากรโดยรวม

การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่มเป็นวิธีที่มีประโยชน์เมื่อทำการวิจัยในประชากรที่มีการจัดระเบียบในกลุ่มหรือพื้นที่ และต้องการการรวบรวมข้อมูลที่มีประสิทธิภาพและประหยัดค่าใช้จ่ายค่ะ


การสุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบ (Systematic Random Sampling)

ประชากร: ประชากรในที่นี้หมายถึงกลุ่มบุคคลหรือหน่วยที่ต้องการศึกษา ซึ่งจะถูกจัดลำดับหรือเรียงตามลำดับที่สามารถระบุได้ เช่น รายชื่อทั้งหมดในฐานข้อมูล หรือสมาชิกในกลุ่มที่มีการจัดเรียงตามลำดับ

คุณลักษณะ: การสุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบจะเลือกตัวอย่างจากประชากรโดยการเลือกตามระยะห่างที่กำหนด การเลือกจะเริ่มจากจุดเริ่มต้นที่สุ่มและจากนั้นจะเลือกทุก ๆ หน่วยที่มีระยะห่างเท่า ๆ กัน

ข้อดี:

  1. ง่ายและรวดเร็ว: การเลือกตัวอย่างตามระยะห่างที่กำหนดเป็นวิธีที่ง่ายและใช้เวลาไม่นานในการดำเนินการ
  2. มีระเบียบ: การเลือกตามระยะห่างช่วยให้การเลือกตัวอย่างเป็นระเบียบและสม่ำเสมอ
  3. ลดความซับซ้อน: ลดความซับซ้อนในการคัดเลือกตัวอย่างเมื่อเทียบกับวิธีการสุ่มแบบอื่น ๆ

วิธีการ:

  1. ระบุขนาดประชากร: กำหนดขนาดของประชากรทั้งหมดที่คุณต้องการศึกษาหรือเข้าถึง
  2. กำหนดขนาดของตัวอย่าง: ตัดสินใจเกี่ยวกับจำนวนตัวอย่างที่ต้องการ
  3. คำนวณระยะห่าง: คำนวณระยะห่างที่ต้องใช้ในการเลือกตัวอย่าง โดยใช้สูตร: k=Nnk = \frac{N}{n}k=nN​ โดยที่ kkk คือระยะห่างที่ต้องเลือก, NNN คือขนาดของประชากร, และ nnn คือขนาดของตัวอย่างที่ต้องการ
  4. สุ่มจุดเริ่มต้น: เลือกจุดเริ่มต้นที่สุ่มจาก 1 ถึง kkk โดยการเลือกตัวอย่างแรก
  5. เลือกตัวอย่างตามระยะห่าง: เริ่มจากจุดเริ่มต้นแล้วเลือกทุก ๆ ตัวอย่างตามระยะห่างที่คำนวณได้

ตัวอย่าง:

  • การสำรวจความคิดเห็น: หากคุณมีรายชื่อ 1,000 คนและต้องการเลือกตัวอย่าง 100 คน คุณจะคำนวณระยะห่างเป็น 10 (1,000/100 = 10) และเลือกตัวอย่างทุก 10 คนจากจุดเริ่มต้นที่สุ่ม (เช่น เริ่มที่ตำแหน่งที่ 5 และเลือกคนที่ 5, 15, 25, … เป็นต้น)

ข้อควรระวัง:

  • ลำดับของข้อมูล: วิธีนี้อาจมีข้อบกพร่องหากข้อมูลในประชากรมีลำดับที่เป็นระเบียบหรือมีรูปแบบที่เป็นซ้ำ (cyclic patterns) ซึ่งอาจทำให้การเลือกตัวอย่างไม่เป็นตัวแทนที่ดี
  • การสุ่มจุดเริ่มต้น: หากจุดเริ่มต้นไม่สุ่มอย่างเหมาะสม อาจทำให้การเลือกตัวอย่างมีความเอนเอียง

การสุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและเป็นระเบียบ แต่ต้องระมัดระวังเรื่องลำดับของข้อมูลและการสุ่มจุดเริ่มต้นเพื่อให้แน่ใจว่าผลลัพธ์ที่ได้มีความแม่นยำและเป็นตัวแทนของประชากรทั้งหมดค่ะ


การสุ่มตัวอย่างแบบโควต้า (Quota Sampling)

ประชากร: ประชากรในที่นี้หมายถึงกลุ่มบุคคลที่มีลักษณะเฉพาะหรือแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย เช่น ตามเพศ อายุ การศึกษา หรือสถานภาพทางเศรษฐกิจ

คุณลักษณะ: การสุ่มตัวอย่างแบบโควต้ามักใช้เมื่อการวิจัยต้องการให้กลุ่มตัวอย่างมีความหลากหลายตามลักษณะหรือคุณสมบัติเฉพาะ วิธีนี้จะทำการแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มย่อยที่มีลักษณะต่าง ๆ และกำหนดจำนวนตัวอย่างที่ต้องการจากแต่ละกลุ่ม

ข้อดี:

  1. มีความเป็นตัวแทน: ช่วยให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่ครอบคลุมลักษณะหรือคุณสมบัติที่ต้องการ เช่น อายุ เพศ หรือระดับการศึกษา
  2. จัดการได้ง่าย: การกำหนดโควต้าช่วยให้การคัดเลือกตัวอย่างเป็นไปอย่างเป็นระเบียบและสามารถควบคุมจำนวนตัวอย่างในแต่ละกลุ่มย่อยได้
  3. รวดเร็วและคุ้มค่า: การเลือกตัวอย่างตามโควต้ามักใช้เวลาน้อยกว่าการสุ่มตัวอย่างแบบอื่น ๆ และสามารถทำให้การวิจัยมีความครอบคลุมมากขึ้น

วิธีการ:

  1. ระบุกลุ่มย่อย: แบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มย่อยตามลักษณะเฉพาะ เช่น เพศ อายุ หรือกลุ่มที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกัน
  2. กำหนดโควต้า: กำหนดจำนวนตัวอย่างที่ต้องการจากแต่ละกลุ่มย่อย เช่น ต้องการ 100 คนจากกลุ่มเพศชายและ 100 คนจากกลุ่มเพศหญิง
  3. คัดเลือกตัวอย่าง: คัดเลือกตัวอย่างจากแต่ละกลุ่มย่อยตามจำนวนที่กำหนด อาจใช้วิธีการสุ่มหรือการเลือกโดยไม่เป็นระบบ
  4. รวบรวมข้อมูล: ทำการรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่ได้ตามโควต้าที่กำหนด
  5. วิเคราะห์ข้อมูล: วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้เพื่อหาข้อมูลเชิงลึกและทำความเข้าใจตามลักษณะที่กำหนด

ตัวอย่าง:

  • การวิจัยประชากร: การสำรวจความคิดเห็นของประชากรที่ต้องการให้มีการเป็นตัวแทนจากกลุ่มอายุและเพศที่แตกต่างกัน โดยกำหนดจำนวนตัวอย่างที่ต้องการจากแต่ละกลุ่มเช่น 50% เพศชายและ 50% เพศหญิงในกลุ่มอายุ 18-25, 26-35, 36-45 เป็นต้น

ข้อควรระวัง:

  • ความเอนเอียง: การคัดเลือกตัวอย่างตามโควต้าบางครั้งอาจมีความเอนเอียงในกรณีที่กลุ่มตัวอย่างที่ได้จากแต่ละกลุ่มย่อยไม่เป็นตัวแทนที่แท้จริง
  • การสุ่มภายในกลุ่ม: วิธีนี้อาจไม่ได้สุ่มตัวอย่างจากแต่ละกลุ่มย่อยอย่างแท้จริง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการเบี่ยงเบนในข้อมูล

การสุ่มตัวอย่างแบบโควต้าจึงเป็นวิธีที่ช่วยให้การศึกษามีความหลากหลายตามกลุ่มย่อยต่าง ๆ และสามารถควบคุมจำนวนตัวอย่างที่ได้จากแต่ละกลุ่มได้ดี แต่ต้องระมัดระวังเรื่องความเป็นตัวแทนและความเอนเอียงของกลุ่มตัวอย่างค่ะ


การสุ่มตัวอย่างแบบอาสาสมัคร (Volunteer Sampling)

ประชากร: ประชากรในที่นี้คือกลุ่มบุคคลที่มีความสนใจหรือสมัครเข้าร่วมการศึกษาโดยสมัครใจ โดยบุคคลเหล่านี้อาจมีลักษณะหรือคุณสมบัติที่หลากหลาย แต่ทั้งหมดสมัครเข้ามาเอง

คุณลักษณะ: การสุ่มตัวอย่างแบบอาสาสมัครมีลักษณะคือบุคคลที่เลือกเข้าร่วมการศึกษาเป็นผู้ที่สมัครใจเอง โดยอาจจะเป็นผู้ที่เห็นประกาศการศึกษาหรือรู้ถึงการวิจัยและตัดสินใจเข้าร่วมเพื่อมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือการศึกษา

ข้อดี:

  1. ง่ายและสะดวก: การรับสมัครอาสาสมัครทำให้การเลือกกลุ่มตัวอย่างเป็นไปได้ง่ายและรวดเร็ว เพราะไม่ต้องใช้วิธีการซับซ้อนในการคัดเลือก
  2. เข้าถึงกลุ่มที่สนใจ: การเลือกผู้ที่สมัครใจเข้าร่วมอาจทำให้ได้รับข้อมูลจากกลุ่มที่มีความสนใจหรือมีประสบการณ์ตรง
  3. ประหยัดทรัพยากร: ลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ซับซ้อน

วิธีการ:

  1. เผยแพร่การศึกษา: ใช้ช่องทางต่าง ๆ เช่น การประกาศในสื่อสังคมออนไลน์, การโพสต์ในเว็บไซต์, หรือการประกาศในสถานที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อดึงดูดให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วม
  2. รับสมัครอาสาสมัคร: บุคคลที่สนใจจะสมัครเข้าร่วมจะต้องลงทะเบียนหรือแสดงความสนใจในการเข้าร่วมการศึกษา
  3. คัดเลือกอาสาสมัคร: ตรวจสอบคุณสมบัติของอาสาสมัคร (ถ้าจำเป็น) และจัดการกับการเข้าร่วมตามจำนวนที่ต้องการ
  4. เก็บข้อมูล: รวบรวมข้อมูลจากอาสาสมัครที่เข้าร่วมตามที่กำหนด
  5. วิเคราะห์ข้อมูล: วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับจากกลุ่มอาสาสมัคร

ตัวอย่าง:

  • การวิจัยทางการตลาด: การทำแบบสำรวจความคิดเห็นของลูกค้า โดยการเชิญชวนลูกค้าที่สนใจที่จะตอบแบบสอบถามหรือเข้าร่วมการศึกษา
  • การศึกษาเชิงพฤติกรรม: การศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มผู้ที่สมัครเข้าร่วมกิจกรรมการศึกษา หรือการทดลองทางจิตวิทยาที่มีการเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วม

ข้อควรระวัง:

  • ความเอนเอียง: กลุ่มตัวอย่างที่สมัครใจเข้าร่วมอาจมีลักษณะที่ไม่เป็นตัวแทนของประชากรทั้งหมด เนื่องจากอาจมีความสนใจหรือความคิดเห็นที่เฉพาะเจาะจง
  • การทั่วไปผล: ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่สามารถนำไปใช้ทั่วไปได้กับประชากรทั้งหมด เนื่องจากอาสาสมัครอาจมีลักษณะหรือทัศนคติที่แตกต่างจากกลุ่มที่ไม่เข้าร่วม

การสุ่มตัวอย่างแบบอาสาสมัครเป็นวิธีที่สะดวกในการรวบรวมข้อมูล แต่ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดเกี่ยวกับความเป็นตัวแทนของกลุ่มตัวอย่างและความเอนเอียงที่อาจเกิดขึ้นค่ะ


การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling)

ประชากร: ประชากรในกรณีนี้คือกลุ่มบุคคลที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงซึ่งเกี่ยวข้องกับการศึกษา เช่น ผู้เชี่ยวชาญในสาขาเฉพาะ ผู้ที่ประสบปัญหาทางสุขภาพที่เฉพาะเจาะจง หรือสมาชิกของกลุ่มที่มีความสนใจร่วมกัน

คุณลักษณะ: การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงจะเลือกบุคคลที่มีลักษณะตามที่นักวิจัยกำหนดไว้ล่วงหน้า การเลือกบุคคลจะอิงจากความรู้หรือประสบการณ์ที่มีคุณสมบัติพิเศษหรือข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษา การเลือกตัวอย่างในวิธีนี้ไม่เกิดจากการสุ่ม แต่เป็นการเลือกอย่างมีเป้าหมายและเจาะจง

ข้อดี:

  1. ตอบสนองวัตถุประสงค์เฉพาะ: สามารถเลือกกลุ่มตัวอย่างที่มีลักษณะเฉพาะที่จำเป็นต่อการวิจัย เช่น การศึกษาเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญในสาขาเฉพาะ
  2. มีความลึกในการศึกษา: สามารถรวบรวมข้อมูลที่มีคุณค่าและเจาะจงจากบุคคลที่มีความรู้หรือประสบการณ์ตรง
  3. เหมาะสำหรับกลุ่มที่ยากในการเข้าถึง: เหมาะสำหรับกลุ่มประชากรที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ง่ายหรือมีจำนวนจำกัด

วิธีการ:

  1. กำหนดลักษณะของกลุ่มตัวอย่าง: ระบุลักษณะหรือคุณสมบัติที่ต้องการในกลุ่มตัวอย่าง เช่น ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หรือประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจง
  2. เลือกตัวอย่างตามลักษณะที่กำหนด: คัดเลือกบุคคลที่มีลักษณะหรือคุณสมบัติตามที่กำหนด เช่น การติดต่อผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่ต้องการศึกษา
  3. รวบรวมข้อมูล: ทำการรวบรวมข้อมูลจากบุคคลที่เลือกได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
  4. วิเคราะห์ข้อมูล: วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้เพื่อหาความเข้าใจที่ลึกซึ้งหรือคำตอบต่อคำถามวิจัย

ตัวอย่าง:

  • การวิจัยเชิงคุณภาพ: การศึกษาเชิงคุณภาพที่มุ่งเน้นการเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้ที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีการทางการแพทย์เฉพาะ เช่น การศึกษาเรื่องประสบการณ์ของผู้ป่วยที่ใช้การรักษาด้วยยาที่เฉพาะเจาะจง

ข้อควรระวัง:

  • ความเอนเอียง: การเลือกตัวอย่างแบบเจาะจงอาจทำให้เกิดความเอนเอียงในการเลือกกลุ่มตัวอย่าง เนื่องจากการเลือกบุคคลที่มีลักษณะเฉพาะอาจไม่สะท้อนถึงประชากรทั้งหมด
  • การทั่วไปผล: ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่สามารถนำไปทั่วไปกับประชากรทั้งหมดได้ เนื่องจากกลุ่มตัวอย่างอาจมีลักษณะที่เฉพาะเจาะจง

การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงเป็นวิธีที่มีประโยชน์ในการวิจัยที่ต้องการข้อมูลเฉพาะจากกลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะเฉพาะ แต่ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดในการเป็นตัวแทนของประชากรทั้งหมดค่ะ


การสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ (Accidental Sampling)

ประชากร: ประชากรในที่นี้หมายถึงกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายและอาจไม่จำเป็นต้องมีลักษณะเฉพาะเจาะจง การสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญมักใช้เมื่อประชากรทั่วไปหรือกลุ่มที่คุณต้องการศึกษาเป็นกลุ่มใหญ่และไม่มีการกำหนดคุณสมบัติที่เฉพาะเจาะจง

คุณลักษณะ: การสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญเป็นวิธีที่ใช้ในการเลือกตัวอย่างจากบุคคลที่สะดวกหรือเจอในช่วงเวลาหนึ่งๆ โดยไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้าในการเลือก ตัวอย่างที่ได้อาจไม่ได้เป็นตัวแทนที่ดีของประชากรทั้งหมด เนื่องจากตัวอย่างถูกเลือกโดยบังเอิญ

ข้อดี:

  1. ง่ายและรวดเร็ว: เป็นวิธีที่ใช้เวลาและทรัพยากรน้อย เนื่องจากไม่ต้องมีการวางแผนหรือวิธีการที่ซับซ้อน
  2. ประหยัดค่าใช้จ่าย: ไม่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการค้นหาหรือคัดเลือกตัวอย่างที่ซับซ้อน
  3. ใช้ได้ในสถานการณ์เร่งด่วน: เหมาะสำหรับการเก็บข้อมูลในสถานการณ์ที่ต้องการการตอบสนองอย่างรวดเร็ว

วิธีการ:

  1. ระบุสถานที่หรือช่วงเวลาที่จะทำการสุ่มตัวอย่าง: เลือกสถานที่หรือช่วงเวลาที่คาดว่าจะพบกับกลุ่มประชากรที่ต้องการ
  2. เลือกตัวอย่างโดยบังเอิญ: ทำการสุ่มตัวอย่างจากบุคคลที่พบเจอในสถานที่หรือช่วงเวลานั้น โดยไม่คำนึงถึงลักษณะหรือคุณสมบัติพิเศษ
  3. เก็บข้อมูล: ทำการเก็บข้อมูลจากบุคคลที่เลือกได้และบันทึกข้อมูลที่ต้องการ
  4. วิเคราะห์ข้อมูล: วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากกลุ่มตัวอย่าง แม้ว่าจะมีข้อจำกัดในการเป็นตัวแทนของประชากรทั้งหมด

ตัวอย่าง:

  • การสำรวจความคิดเห็น: หากคุณทำการสำรวจความคิดเห็นจากผู้คนที่เดินผ่านไปมาที่สถานที่เฉพาะ เช่น บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้า โดยเลือกบุคคลที่ผ่านไปมาหรือมีเวลาพูดคุยเท่านั้น

ข้อควรระวัง:

  • ความเอนเอียง: การเลือกตัวอย่างแบบบังเอิญอาจทำให้เกิดความเอนเอียง เพราะกลุ่มตัวอย่างที่เลือกมาอาจไม่เป็นตัวแทนของประชากรทั้งหมด
  • การนำไปใช้: ผลลัพธ์ที่ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญอาจมีข้อจำกัดในการทั่วไป (generalizability) และอาจไม่สะท้อนถึงลักษณะของประชากรทั้งหมด

การสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก แต่ต้องระวังเรื่องความถูกต้องและความเป็นตัวแทนของผลลัพธ์ในการศึกษาและการวิจัยค่ะ


การสุ่มตัวอย่างแบบ Snowball Sampling

ประชากร: ประชากรในที่นี้หมายถึงกลุ่มบุคคลที่มีลักษณะเฉพาะซึ่งเป็นเป้าหมายของการวิจัย เช่น กลุ่มผู้มีความรู้เฉพาะในเรื่องหนึ่ง หรือกลุ่มที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น ผู้ที่เป็นสมาชิกของชุมชนเฉพาะ หรือผู้ที่ประสบปัญหาโรคหายาก

คุณลักษณะ: การสุ่มตัวอย่างแบบ Snowball Sampling เหมาะสำหรับกลุ่มประชากรที่ยากในการเข้าถึงหรือกลุ่มที่ไม่สามารถระบุสมาชิกทั้งหมดได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีขนาดเล็กหรือมีลักษณะเฉพาะที่ทำให้การค้นหาเป็นไปได้ยาก เช่น กลุ่มผู้ใช้สารเสพติด กลุ่มผู้ที่มีโรคหายาก หรือกลุ่มที่มีความสนใจในเรื่องเฉพาะเจาะจง

ข้อดี:

  1. เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ยากในการเข้าถึง: ช่วยในการเข้าถึงกลุ่มประชากรที่มีความเฉพาะเจาะจงและยากในการค้นหา
  2. ประหยัดเวลาและทรัพยากร: การขยายกลุ่มตัวอย่างสามารถทำได้โดยการพึ่งพาการแนะนำจากสมาชิกที่มีอยู่ ทำให้การค้นหาตัวอย่างใหม่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  3. เพิ่มความเป็นไปได้ในการได้รับข้อมูลที่มีคุณค่า: การแนะนำจากสมาชิกที่มีอยู่สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และน่าเชื่อถือได้

วิธีการ:

  1. เริ่มจากตัวอย่างแรก: เลือกบุคคลเริ่มต้นที่มีลักษณะตามที่ต้องการ (อาจใช้การสุ่มตัวอย่างแบบอื่นเพื่อเริ่มต้นได้)
  2. ขอแนะนำเพิ่มเติม: ขอให้บุคคลเริ่มต้นแนะนำหรือเชิญชวนบุคคลอื่นที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกัน
  3. ขยายกลุ่มตัวอย่าง: บุคคลใหม่ที่ได้รับการแนะนำจะถูกเพิ่มเข้ามาในกลุ่มตัวอย่าง และพวกเขาจะถูกขอให้แนะนำบุคคลอื่นต่อไป
  4. ทำซ้ำ: ทำซ้ำกระบวนการนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้กลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดตามต้องการ หรือเมื่อไม่สามารถหาบุคคลใหม่ ๆ ได้อีก

การใช้ Snowball Sampling เป็นวิธีที่มีประโยชน์เมื่อทำการวิจัยในกลุ่มประชากรที่มีความเฉพาะเจาะจงหรือยากในการเข้าถึง แต่ควรระมัดระวังเรื่องความเอนเอียงที่อาจเกิดขึ้นจากการแนะนำของสมาชิกที่มีอยู่.

Share: 

No comments yet! You be the first to comment.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *